โบราณว่า “อยากฉลาดเรียนไท่จี๋ อยากต่อยตีเรียนสิงอี้ อยากเป็นเซียนให้เรียนปากั้ว” ความจริงทั้งไท่จี๋ สิงอี้ ปากัว ต่างก็เป็นชื่อของวิชาศิลปะการต่อสู้ของจีนทั้งสิ้น ขึ้นชื่อว่าศิลปะการต่อสู้แล้วก็ต้องต่อสู้ทำร้ายกันทั้งสิ้น ที่ว่าอยากฉลาดเรียนไท่จี๋ อยากต่อยตีเรียนสิงอี้นั้นพอเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ที่ว่าอยากเป็นเซียนให้เรียนปากั้วนั้นฟังดูพิกลๆ ในเมื่ออยากเป็นเซียนอยากบรรลุมรรคผลทางศาสนาแล้วเหตุใดจึงกล่าวว่าให้เรียนปากั้ว ทั้งๆ ที่ปากั้วนั้นก็คือศิลปะการป้องกันแขนงหนึ่งเท่านั้นเอง
เหตุผลที่คนโบราณเขาว่าอยากเป็นเซียนให้เรียนปากั้ว ความจริงก็เพราะว่าในวิชาปากั้วนั้นมีจุดเด่นกว่าวิชามวยอื่นๆ ตรงที่ว่านอกจากเรื่องการฝึกศิลปะการต่อสู้แล้วก็ยังมีเรื่องการฝึกภายในหรือการฝึกพลังภายในอยู่เป็นอันมากนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพลังภายในโดยตรงหรือการฝึกพลังภายในโดยผสมผสานไปกับการฝึกศิลปะการต่อสู้ก็ตาม
การฝึกพลังภายในที่ว่านี้ก็คือการฝึกจิตตามคติทางลัทธิเต๋า เป็นการฝึกจิตเพื่อให้บรรลุมรรคผลตามคติลัทธิเต๋าซึ่งก็คืออมตะธรรม (การมีจิตอันเป็นอมตะไม่เวียนว่ายตายเกิดคล้ายกับการนิพพานในพระพุทธศาสนา) การฝึกนี้เป็นมรดกตกที่ทอดกันตั้งแต่สมัยปรมาจารย์ต๋งไห่ชวนเมื่อครั้งยังศึกษาวิชาเซียนกับนักพรต อวิ๋นผาน บนเขาจิ่วฮั่วซาน และได้ถ่ายทอดสู่ลูกศิษย์รุ่นต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน
สรุปง่ายๆ ก็คือในวิชาปากั้วจ่างนั้นนอกจะเป็นวิชาศิลปะการต่อสู้แล้ว ก็ยังมีวิชาบำเพ็ญเป็นเซียนอย่างลัทธิเต๋าผสมผสานอยู่เป็นอันมากนั่นเอง ดังนั้นสำนวนที่ว่าอยากเป็นเซียนให้เรียนปากั้วจึงไม่ได้พูดเกินเลยไปจากความจริงเท่าใดนัก (ในการฝึกภายในของวิชาปากั้วขั้นสูง ผู้ฝึกก็ไม่ได้ต่างจากผู้ออกบวชเท่าไหร่นัก เช่นว่าต้องทานเจ ต้องถือศีลรักษาพรหมจรรย์ ต้องฝึกนั่งสมาธิบำเพ็ญภาวนาเป็นต้น)
สำหรับคนโดยทั่วไป ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีเป้าหมายไปใกลขนาดการบรรลุมรรคผลอมตะธรรม การฝึกภายในก็ยังส่งผลดีเป็นอย่างมากในด้านการพัฒนาจิตใจให้เข้มแข็งและการรู้จักปล่อยวางละอัตตา ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ล้วนแล้วแต่ดีต่อสุขภาพจิต สุขภาพกายทั้งสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น