วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

จิตวิทยาการต่อสู้ (Fighting Psychology) “ความได้เปรียบ” (ตอนที่ 1)

ขึ้นชื่อว่าการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นต่อสู้กันเชิงนามธรรมอย่างการต่อสู้กับอุปสรรคขวากหนามชีวิต ต่อสู้ในเชิงธุรกิจเพื่อความสุขความสำเร็จในชีวิต หรือการต่อสู้จริงๆ ประเภทหัดเท้าเข่าศอกจับทุ่มทั้งหลายทั้งปวง ในทางทฤษฏีแล้วมันก็ไม่ต่างกันนัก ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้อย่างไร ลองขึ้นชื่อว่าต่อสู้แล้วนั่นหมายถึงว่าเราจะต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ของเราให้จงได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ง่ายแต่นั่นก็คือสิ่งที่เราต้องจะต้องทำ

การให้ได้มาซึ่งชัยชนะนั้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเรื่องภายนอก (เช่นตัวเล็กตัวใหญ่ ทุนหนาทุนน้อย) หรือเรื่องภายใน (เช่นสภาพจิตใจหรือกลยุทธต่างๆ) มีหลักง่ายๆ ว่าในการต่อสู้นั้น ถ้าใคร “ได้เปรียบ” คนๆ นั้นก็ย่อมมีแนวโน้มสูงว่าจะสามารถเอาชนะได้ ถึงแม้ว่าความได้เปรียบจะไม่ได้เป็นตัวการันตีว่าการต่อสู้นั้นเราจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยที่สุดโอกาสชนะก็น่าจะเป็นของเรามากกว่าคู่ต่อสู้ก็แล้วกัน

แล้วทำอย่างไรที่เราจะสามารถครองความได้เปรียบเอาไว้ได้



ปัจจัยที่ 1 ที่จะนำมาซึ่งความได้เปรียบก็คือ “ความถนัด” หรือ “ความคุ้นเคย” ก่อนอื่นผมขอถามว่า “เสือกับปลาฉลามสู้กันใครจะชนะ” คำถามนี้ดูเหมือนไร้สาระมาก จะเป็นไปได้อย่างไรที่เสือที่อยู่ในป่าจะกระโดดลงน้ำทะเลตูมลงไปสู้กับปลาฉลาม และยิ่งเป็นไม่ได้ใหญ่ถ้าจะให้ปลาฉลามเดินเข้าไปประสู้กับเสือ ...แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ล่ะ คำตอบที่แน่นอนเสียยิ่งกว่าแน่นอนก็คือ เสือคงจมน้ำทะเลตายไปก่อนที่จะสู้กับปลาฉลาม หรือปลาฉลามคงตายเสียตั้งแต่เกยอยู่บนหาดก่อนที่ได้เจอหน้าเสือที่เป็นคู่ต่อสู้ของมันเสียอีก

คำถามที่ดูเหมือนไร้สาระนี้บอกเราว่า การที่เราทำในสิ่งที่เราคุ้นเคยหรือทำในสิ่งเราถนัดนั้นย่อมดีกว่าเสมอ เราควรเป็นเสือในป่า หรือไม่ก็เป็นปลาฉลามที่อยู่ในน้ำมากกว่าเสือที่กระโดดลงทะเลหรือปลาฉลามที่อุตริเดินขึ้นไปบนฝั่งอย่างไร้สติ จงทำให้การต่อสู้นั้นเป็นเกมของคุณ ไม่ใช่ของคู่ต่อสู้ของคุณ จงค้นหาความได้เปรียบจากสิ่งที่คุณถนัดและใช้มันให้เต็มความสามารถ ถ้าคุณเป็นนักมวยปล้ำคุณก็ไม่มีความจำเป็นออกไปแลกหมัดกับนักมวยสากล จงทำให้นักมวยสากลมาเล่นมวยปล้ำกับคุณแล้วความได้เปรียบจะยืนอยู่ข้างคุณอย่างแน่นอน

แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับปัจจัยที่ 1 นี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยหากขาดไปซึ่งองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญซึ่งก็คือ “การรู้จักตัวเองและคู่ต่อสู้”

การรู้จักคู่ค่อสู้นั้นในความเป็นจริงดูเหมือนจะไม่ยากเท่าไหร่ เราสามารถสือเสาะ ค้นคว้า หรือประเมิญผลได้ไม่ยากว่าคู่ต่อสู้ของเราคือใครมีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไร แต่การรู้จักตัวเองนั้นดูเหมือนจะไม่ใชเรื่องง่ายนัก เราอาจจะรู้เรื่องสารพัดเรื่องในจักวาลได้มากมายแต่บางครั้งเราก็รู้จักตัวเราเองน้อยกว่าที่ควรมาก เรื่องการรู้จักตัวเองเรื่องนี้ คาล โรเจอร์ ปรมาจารย์นักจิตวิทยาแนวมนุษย์นิยมได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์เราแต่ล่ะคนมีองค์ประกอบของบุคลิกภาพแบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน คือ ตัวตนที่ตัวเองคิดว่าเป็น ตัวตนที่เป็นอยู่จริง และตัวตนคาดหวังว่าจะเป็น ถ้าสามอย่างนี้ขัดแย้งขึ้นมาเมื่อไหร่ปัญหาทางบุคลิกภาพก็ย่อมจะเกิดขึ้นได้ทันที เช่นตัวเองอยากเป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง จึงคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง พยามใช้ท่าทางยากๆ เพื่อให้ได้รับชัยชนะ ...แต่ว่าในสิ่งที่เป็นอยู่จริงนั้นกลับเป็นว่าไม่ได้มีฝีมือสูงส่งไปกว่าคู่ต่อสู้ซักเท่าไหร่เลยดีไม่ดีบางอย่างอาจจะสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ แบบนี้โอกาสจะได้รับชัยชนะก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ลำบาก เหตุทั้งหมดก็เนื้องมาด้วยความไม่รู้จักตัวตนของตัวเองอย่างแท้จริงนั่นเอง

เมื่อบุคคลค้นพบตัวตนที่แท้จริง รู้จักสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นเป็น รู้จักสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่จริง และรู้จักสิ่งที่ตัวเองคาดหวังที่จะเป็น อย่างถ่องแท้ และรู้จักคู่ต่อสู้มากเพียงพอ นี่ก็ตรงกับคำโบราณที่ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ไม่มีผิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น