วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

พลังภายใน


พลังภายในหรือกำลังภายในเป็นคำไทยที่แปลมาจากภาษาจีนว่า “เน่ยกง” (เน่น = ภายใน, กง = กำลังหรือความสามารถ) คนไทยเรารู้จักคำว่าพลังภายในหรือกำลังภายในนี้โดยชั้นแรกมาจากบรรดาหนังสืออ่านเล่นแนวยุทธจักรนักเลงที่แปลมาจากต้นฉบับภาษาจีนจากฮ่องกงหรือไต้หวัน หรือที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปว่านิยายกำลังภายใน


เรื่องราวจากหนังสืออ่านเล่นเหล่านี้มีการกล่าวถึงพลังงานอย่างหนึ่งที่ซ้อนเร้นอยู่ในร่างกายของบรรดาเหล่าจอมยุทธทั้งหลายกันอย่างเอิกเกริก (บ้างก็ฝึกฝนได้มาอย่างอยากลำบาก บ้างก็ได้มาแบบฟลุ๊กๆ) โดยเรียกกันอย่างติดปากว่ากำลังภายใน ซึ่งเจ้ากำลังภายในที่ว่านี้ก็ช่วยให้บรรดาจอมยุทธต่างๆ ที่โลดแล่นอยู่ในท้องเรื่องมีความพิสดารเหนือมนุษย์อยู่มากโข เช่นการเหาะเหิรเดินอากาศ เหยียบบนยอดหญ้ายอดไม้ กระโดดข้ามบ้านช่อง สามารถทำลายสิ่งต่างๆ ให้แหลกสลายได้ง่ายดาย หรือแม้แต่เอาชีวิตผู้คน (โดยเฉพาะตัวประกอบ) ให้ลมตายได้เป็นผักปลา

มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดหากคนส่วนใหญ่จะมองว่ากำลังภายนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ในขณะที่คนอีกบางกลุ่มที่ลึกๆ แล้วต้องการพลังอำนาจบางสิ่งที่เหนือกว่าปรกติ (เพื่อชดเชยบางสิ่งในจิตใต้สำนึกที่ขาดหายไป) จะศัทธาเชื่อมั่นและพยามไขว่คว้าหาศาสตร์ในการฝึกฝนสิ่งที่เรียกว่ากำลังภายใน

กำลังภายในนั้นความจริงเป็นอย่างไร มีจริงหรือไม่ ก็ขอตอบง่ายๆ ในที่นี้ได้เลยว่าสิ่งที่เรียกว่ากำลังภายในหรือพลังภายในนั้นย่อมเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างแน่นอน แต่จะเป็นอย่างไร มีอำนาจพิสดารเหมือนอย่างในหนังสืออ่านเล่นหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เราจะต้องพิจรนากันต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

八卦掌

สารคดีปากว้าจ่าง

บรรยายและเสียงประกอบภาษาจีนกลาง

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

"ชี่" (ปราณ)

ก่อนอื่นเราควรเข้าใจก่อนว่าคำว่า "ชี่นี้คืออะไร คำว่าชี่นี้เป็นภาษาจีนซึ่งออกเสียงตามสำเนียงจีนกลาง มีความหมายว่า "ปราณตามภาษาไทยเรา 

ปราณก็คือชีวิต พลังปราณก็คือพลังแห่งชีวิต เป็นสิ่งมีอยู่แล้วในร่างกายของเรา เมื่อมีพลังปราณจึงมีชีวิต เมื่อสิ้นชีวิตพลังปราณก็จะหายไป ส่วนลมหายใจนั้นเป็นลมแห่งชีวิจจึงเรียกกันว่าลมปราณ  ศิลข้อปาณา (ห้ามฆ่าสัตว์) ก็คือทำให้สิ่งใดสิ้นปราณคือทำให้สิ้นชีวิตก็ถือว่าเป็นบาปหนัก

ความจริงปราณก็ไม่อะไรมากไปกว่านี้เลย 

ตามหลักวิชาการแพทย์จีน กล่าวว่าปราณในตัวเรานี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางร่างกายในส่วนต่างๆอย่างลึกซึ้ง ร่างกายส่วนใดทำงานบกพร่องหรือได้รับสารจำเป็นต่อร่างการไม่เพียงพอ ปราณในส่วนนั้นก็ย่อมบกพร่องลงไป โดยหลักวิชาการแพทย์จีนจะแบ่งปราณออกเป็น2ลักษณะ คือปราณภายในร่างกายของเรา(เจิ้งชี่และปราณภายนอกร่างกาย(เสี่ยชี่ปราณภายในร่างกายก็คือพลังชีวิตในร่างกายเราเป็นเครื่องชี้บอกสมรรถภาพทางร่างกายด้านในส่วนต่างๆ(นัยหนึ่งก็หมายถึงระดับสมรรถภาพทางร่างกายนั่นเองส่วนปราณนอกร่างกายนั้นก็คือปราณที่อยู่รอบๆตัวเรา เป็นปัจจัยเสริมในการบำรุงร่างกายหรือก่อเกิดโรค ความหมายนัยหนึ่งก็คือความร้อน ความชื้น ความร้อนหนาวรอบๆ รวมถึงพลังงานต่างๆรอบตัวเราทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จัก

ปราณในตัวเราสามารถแบ่งออกเป็น3ชนิดด้วยกันคือเว่ยชี่ - หมายถึงปราณที่แล่นอยู่นอกเส้นชีพจร หรือเส้นเลือด ทำหน้าที่ในการบำรุงเลี้ยงร่างกายให้เกิดความอบอุ่น รักษาอุณหภูมิของร่างกาย ป้องกันไม่ให้ถูกปัจจัยภายนอกเข้ามาจู่โจมร่างกายเรา
อิ๋งชี่ - หมายถึงปราณที่แล่นอยู่ในเส้นชีพจร หรือเส้นเลือด ซึ่งก็คือระบบการไหลเวียนของเลือดนั่นเอง
จั้นฝู่จือชี่ หมายถึงพลังปราณที่อยู่ในอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งโดยเฉพาะ ทำให้อวัยวะนั้นๆทำงานได้ หรืออีกในหนึ่งก็คือสมรรถภาพของอวัยวะอันนั้นๆนั่นเอง

ปราณเกิดขึ้นได้อย่างไร ? 
ตามหลักวิชาการแพทย์จีนอธิบายว่าปราณในร่างกายเราเกิดขึ้นได้จากปัจจัยพื้นฐาน2อย่างด้วยกัน คือ

1.    การทำงานของอวัยวะแต่ละส่วน(อวัยวะผิดปรกติ ปราณส่วนนั้นก็บกพร่อง)
2.    สารจำเป็นต่อร่างกายของเรา(เช่นอาหาร อากาศ หรือการพักผ่อนที่เพียงพอ)

อวัยวะใดบกพร่องปราณส่วนนั้นก็จะบกพร่อง หากกินไม่พอนอนไม่พอพักผ่อนไม่พอ ปราณก็จะถดถอยลงไป หากปราณถดถอยลงจนถึงจดสุด ก็จะถึงแก่ความตาย ซึ่งก็คือเหนื่อยตายหรืออดตาย หากอวัยวะชำรุดเสียหายบกพร่องเสียจนปราณในร่างกายถดถอยไม่พอหล่อเลี้ยงร่างกายทั้งระบบ (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพลังปราณในอวัยวะลดเสียจนอวัยวะนั้นๆ อยู่ไม่ได้) นั่นคือการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยตายนั่นเอง

กั๋ว กู่ หมิง

กั๋วกู่หมิง(1887-1968) นามเดิมชื่อ”เต๋อหลุน” เกิดปี1887(ปีที่13ในรัชสมัย กวงสูฮ่องเต้) เดือน9 วันที่20 ตามจัทรคติจีน ถึงแก่กรรมในปี1968 เดือน8 วันที่25 บ้านเดิมอยู่เหอเป่ย เสิ่นจี้ มีพี่น้อง3คน พี่ชายคนหนึ่งรับราชการอีกคนหนึ่งเป็นพ่อค้าแต่พี่น้องก็ค่อยไม่ชอบพอกันเท่าใดนัก 


อาจารย์กั๋วรักในศิลปะการต่อสู้มาก แต่ว่าพี่ชายทั้ง 2 นั้นกลับคัดค้านเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นอาจารย์กั๋วจึงตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านสู่ปักกิ่งเพื่อไปเป็นเด็กฝึกงานในร้านเสื้อผ้าเก่า ขณะที่ฝึกหัดงานนั้นมีผู้แนะนำให้พบกับอาจารย์ปากว้าจ่างรุ่นที่2 ซึ่งคือท่าน “เหลียงเจิ้นผู่” ฉายา”กู่อี้เหลียง”(ช่างตัดเย็บเหลียง) จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ในสำนักของอาจารย์เหลียงเจิ้นผู่

          
อาจารย์กั๋วกู่หมิงยังได้ฝึกฝนกับบรรดาอาจารย์ลุงในสำนักปากว้าจ่างรุ่นที่2ผู้มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน เช่น

“ต้าเชียงหลิว”(ทวนใหญ่ หลิว) ชื่อเดิมหลิวเต๋อควน
“เถี่ยจูจื่อ”(กำไลเหล็ก)ชื่อเดิมหยินฝู่
“เอี่ยนจิงเฉิง’”(แว่นตา เฉิง)ชื่อเดิม”เฉิงถิงหัว”
“จุ๋ยถุ่ยสือลิ่ว”(6ขาขโมยก้าว) 
เหล่าลูกศิษย์ของพวกอาจารย์ลุง เช่น เจิงเสิ่งซัน, เฉิงยู่หลง (ลูกชายเฉิงถิงหัว), หลี่เหวินเปียว, กงเป่าเถียน, ฝูเต๋อเหลียน, ซุนลู่ถัง, ฮวนฝูซุ่น เป็นต้น ต่างก็สนิทสนมกันดี ซ้ำยังได้มีโอกาสร่วมศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันเสมอ

           
“เจิงฉีชื่อ” ชื่อเล่นว่ า”เสิ่งซัน ”ชื่อเดิมว่า ”จินอี้หุ้ย” มีความรู้ถึงขั้นอนุปริญญา เป็นหลานของท่าปรมาจารย์ต๋งไห่ชวน ในสมัยก่อนเมื่อปรมาจารย์ต่งไห่ชวนถ่ายทอดวิชา จะใช้การแต่งเป็นคำกลอนท่องจำ ท่านเจินเสิ่งซันจะยืนอยู่ข้างๆ ปรมาจารย์ต๋งไห่ชวนคอยปรนณิบัติรับใช้ใกล้ชิด ดังนั้นสาระสำคัญที่ถ่ายทอดนั้นจะถูกท่านเจิงเสิ่งซันจดบันทึกเก็บเอาไว้ มีเคล็ดการฝึก36บท และวิธีการใช้48บท และยังมีวิชาพลองไม้ไผ่7ดาว(ชีชิงกัน) วิชาทั้งหมดล้วนตกมาถึงอาจารย์กั๋วกู่หมิงทั้งสิ้น


กั๋ว กู่ หมิง (รุ่นที่ 3)

เหลียงเจิ้นผู่

เหลียงเจิ้นผู่ (1863-1932) ฉายาว่า “ช่างตัดผ้าเหลียง” ตั้งแต่เด็กชอบฝึกศิลปะการต่อสู้ เชี่ยบวชาญการเตะ(ถานทุ่ย) และอาวุธซัด เมื่อโตขึ้นได้เดินทางออกจากบ้านเกิดไปยังเมืองปักกิ่ง ฝึกหัดเป็นช่างเย็บเสื้อผ้า และได้เป็นศิษย์ในคนสุดท้ายของปรมาจารย์ต๋งไห่ชวน และเป็นปรมาจารย์ผู้ให้กำเนิดวิชาปากว้าจ่างสายตระกูลเหลียง


ถึงแม้ปรมาจารย์เหลียงเจิ้นผู่เกิดมารูปร่างจะเล็กกว่าคนอื่นแต่ก็มีความคล่องแคล่วสูง สามารถเหยียบใบบัวบนผิวน้ำกระโดข้ามน้ำไปมาได้ ส่วนฝ่ามือนั้นก็ฝึกฝนจนมีพลังร้ายกาจเคยตบตัวล่อที่วิ่งฝ่าเข้ามาในเมืองจนตายในฝ่ามือเดียวมาแล้ว ความรู้ด้านศิลปะวิทยายุทธก็อยู่ในระดับสูงไม่ด้อยกว่าปรมาจารย์ท่านอื่น ภายหลังได้ยึดอาชีพสอนมวยเป็นหลักเมื่อชราก็รับตำแหน่งที่ปรึกษาของสมาคมศิลปะการต่อสู้ของรัฐ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งเขตเหนือใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง 


ต่อมาเมื่อเสียชีวิต บรรดาลูกศิษย์ก็นำเถ้ากระดูกของท่านไปฝังใกล้สุสานของปรมาจารย์ ต๋งไห่ชวน
ปรมาจารย์ เหลียง เจิ้น ผู่ (รุ่นที่สอง)

ต้าปาจ่าง (แปดฝ่ามือใหญ่)



โดยเหล่าซือ หลี่ เว้ย ตง (รุ่นที่ 5)


ปรมาจารย์ ต๋งไห่ชวน

ปรมาจารย์ต๋งไห่ชวน(1799-1882) ผู้ให้กำเนิดศิลปะการต่อสู้ปากว้าจ่าง(ฝ่ามือแปดทิศ) หัวหน้าขันทีและครูฝึกทหารองค์รักษ์แห่งวังตวนอ๋องสมัยปลายราชวงค์ชิง เดิมเป็นชาวเมืองเหวินอัน รูปร่างสูงใหญ่ กำลังมหาศาล ฝึกวิชา "อินหยางปาผันจ่าง" มีฝีมือต่อสู้สูงส่งตั้งแต่อายุยังน้อยไม่เคยแพ้ใครในการต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียว ต่อมาออกเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์จนได้มาพบนักพรต "อวิ๋นผาน" ที่ภูเขาจิ่วฮั่วซาน ได้ฝึกฝนวิชาเซียนอยู่บนเขานานถึง 8 ปี จึงได้ลงจากเขา ต่อมาได้ผสมผสานวิชาบำเบ็ญอย่างลัทธิเซียนเข้ากับวิชาหมัดมวย เกิดเป็นวิชาใหม่เรียกว่า "จ้วนจ่าง" (ฝ่ามือหมุนหรือฝ่ามือเปลี่ยนแปลง) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเชื่อเป็น "ปากว้าจ่าง" สืบมาจนถึงทุกวันนี้


ปรมาจารย์ ต๋งไห่ชวน (รุ่นที่หนึ่ง)



หมายเหตุ - เรื่องราวของปรมาจารย์ต๋งไห่ชวนนั้นเล่าสืบทอดกันมาต่างๆนาๆ ดังนั้นหากเรื่องราวมีบางส่วนที่ไม่ตรงกันกับแหล่งข้อมูลอื่นก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด

ปากว้าจ่าง (ฝ่ามือแปดทิศ)

ปากว้าจ่าง หรือปากัวจ่าง หากแปลความหมายตามตัวอักษรแล้วก็จะหมายถึงฝ่ามือแปดทิศ ปากว้าจ่างเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศจีน เป็นวิชาที่รับเอาปรัชญาในศาสนาเต๋าและลัทธิเซียนของจีนเข้ามาผสมผสานกับระบบศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว เดิมปากว้าจ่างทีเป็นศิลปะการต่อสู้ที่สอนกันอยู่ในชนชั้นสูงของจีน(เชื้อพระวงค์ ขุนนาง หรือผู้มีอันจะกินในเมืองหลวง) ต่อมาจึงได้เผยแพร่ออกมาสู่ประชาชนทั่วไป ในวงการศิลปะการต่อสู้ของจีนได้จัดให้ปากว้าจ่างอยู่ในกลุ่มเดียวกับมวย ไทจี๋ฉวน(ไทเก๊ก) และสิงอี้ฉวน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของมวยภายใน(ฝึกเพื่อการป้องกันตัวมากกว่าต่อสู้ เน้นฝึกระบบภายในตัวก่อนฝึกท่าทาง) สำรับในประเทศไทยเริ่มมีผู้สนใจและมีการเปิดสอนศิลปะมวยปากว้าจ่างนี่แยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังถือว่ารู้จักกันอยู่ในวงแคบๆ และแต่ละที่ล้วนแล้วแต่มีแนวทางเฉพาะของตัวเองทั้งสิ้น

         แนวคิดรวบยอดของศิลปะการต่อสู้แบบปากว้าจ่างก็คือการละความยึดมั่นในตัวเองอย่างที่สุด ทำตัวเองเป็นเพียงความว่างเปล่า เข้าร่วมกับการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้แล้วหยิบยืมพลังความก้าวร้าวของคู่ต่อสู้นั้นคืนกลับไปหา(ทำร้าย)คู่ต่อสู้เองตามกฎของธรรมชาติ(กฎแห่งกรรมนัยหนึ่งของเครื่องหมายปากว้าหรือที่เรียกกันติดปากคนไทยทั่วไปว่าปากัวซึ่งก็คือวงล้อแห่งกรรม-**หมายถึงปากัวแบบหลังกำเนิด) ทุกสิ่งในธรรมชาตินั้นล้วนมีแต่ความเปลี่ยนแปลง(อนิจจังไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป) ทำกรรมใดไว้ก็ย่อมรับผลกรรมนั้น ตัวเราก็เป็นเพียงความว่างเปล่า ....วิธีการของปากว้าจ่างก็เป็นเช่นนั้น