วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อินหยางปาผันจ่าง (Yin Yang Ba Pan Zhang)

วิชาอินหยางปาผันจ่าง (Yin Yang Ba Pan Zhang) หรือวิชาฝ่ามือแปดวงอินหยาง เป็นศิลปะการต่อสู้แขนงหนึ่งของจีน บ้างก็ว่าเป็นต้นกำเนิดของวิชาปากั้วจ่าง บ้างก็ว่าเป็นวิชาที่แยกแตกแขนงมาจากวิชาปากั้วจ่างของปรมาจารย์ต๋งไห่ชวนอีกที ซึ่งเรื่องนี้ยังหาข้อยุติแน่นอนไม่ได้แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเชื่อว่าปาผันจ่างเป็นวิชาต้นแบบของปากั้วจ่างก่อนที่ปรมาจารย์ต๋งไห่ชวนจะพัฒนาเป็นปากั้วจ่างขึ้นมา

คำว่า ปาผัน (Ba Pan) หรือแปดวงนั้นหมายถึงการเคลื่อนที่อย่างอิสระของอวัยวะทั้ง 8 อันประกอบไปด้วย ไหล่ ข้อศอก ข้อมือ สะโพก หัวเข่า ข้อเท้า อก และท้อง หรืออีกนัยหนึ่งหมายถึงท่าทางที่สำคัญทั้ง 8 ท่าในวิชาอินหยางปาผันจ่าง

กล่าวกันว่าอินหยางปาผันจ่างเริ่มต้นที่ปรมาจารย์ Dong Linmeng โดยปรมาจารย์ Dong Linmeng ได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้กับ Xue Yonghe, Li ZhenQing และ Dong HanQing (ชื่อเดิมของปรมาจารย์ต๋งไห่ชวน) ต่อมาประมาณช่วงปี 1870 Li ZhenQing ได้กลับไปถ่ายทอดวิชานี้ที่เมืองเหวินอันบ้านเกิดและได้รับศิษย์ 3 คนคือ Liu Baozhen (ศิษย์คนแรกและต่อมาก็ไปฝึกปากั้วจ่างกับปรมาจารย์ต๋งไห่ชวน), Xiao Haibo (ผู้คิดค้นปาผันจ่างแบบวงแคบขึ้นมา) และ Ren Zhicheng ผู้ที่มีบทบาทเป็นอย่างมากต่อการเผยแพร่วิชาปาผันจ่าง เพราะได้ร่วมมือกับพี่น้องของเขาอีก 2 คนจัดพิมพ์หนังสือ อินหยางปาผันจ่าง ขึ้นมาเป็นครั้งแรกซึ่งก็ยังคงมีตีพิมพ์อยู่จนถึงทุกวันนี้


จิตวิทยาการต่อสู้ (Fighting Psychology) “ความได้เปรียบ” (ตอนที่ 2)

คำว่า “เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม” ดูเหมือนจะเหตุผลครอบจักวาลที่สามารถนำมาอธิบายพฤติกรรมแปลกๆ ของมนุษย์ได้อย่างไม่รู้จบรู้สิ้น บ่อยครั้งที่เราพบว่ายักษ์ในสนามซ้อมมักจะกลายเป็นมดตัวเล็กๆ ในสนามแข่งจริง เหตุผลง่ายๆ ของเรื่องแบบนี้ก็ดูเหมือนจะต้องอธิบายว่า “เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม” เช่นกัน

ก่อนอื่นขอให้เข้าใจก่อนว่า “เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมมนุษย์จึงต้องการการยอมรับจากสังคม” เรื่องแบบนี้จะเกี่ยวข้องกับความได้เปรียบในการต่อสู้อย่างไรเดี๋ยวเราจะได้รู้กัน

ระบบประสาทของมนุษย์ (อันประกอบไปด้วยตา หู ลิ้น จมูก และผิวสัมผัส หรือที่นัก NLP เขียนกันย่อๆ ว่า VAGOK) ถูกออกแบบมาให้รับข้อมูลต่างๆ ตลอดเวลา สิ่งที่ทำให้เกิดการรับข้อมูลนี้เราเรียกว่า “สิ่งเร้า” (Impulsion) เมื่อบรรดาข้อมูลต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาสู่ระบบประสาทสมองของเราจะนำเอาไปประมวลผลโดยเทียบกับความทรงจำเดิม ได้ผลออกมาก็คือสภาพอารมณ์แต่และช่วงขณะ และเป็นธรรมดาที่สุดหากข้อมูลแบบเดียวกันจะถูกตีความในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่นเห็นหมาตัวเดียวกันคนหนึ่งอาจจะชอบแต่อีกคนอาจจะกลัวก็ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าแต่ละคนมีประสบการณ์การเรียนรู้ที่แตกต่างกันนั่นเอง (อย่าลืมว่าการประมวลผลในสมองจะต้องใช้ข้อมูลเก่าหรือที่เรียกว่าประสบการณ์มาเป็นตัวแปรในการคำนวนผลด้วยเสมอ)

จิตวิทยาการต่อสู้ (Fighting Psychology) “ความได้เปรียบ” (ตอนที่ 1)

ขึ้นชื่อว่าการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นต่อสู้กันเชิงนามธรรมอย่างการต่อสู้กับอุปสรรคขวากหนามชีวิต ต่อสู้ในเชิงธุรกิจเพื่อความสุขความสำเร็จในชีวิต หรือการต่อสู้จริงๆ ประเภทหัดเท้าเข่าศอกจับทุ่มทั้งหลายทั้งปวง ในทางทฤษฏีแล้วมันก็ไม่ต่างกันนัก ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้อย่างไร ลองขึ้นชื่อว่าต่อสู้แล้วนั่นหมายถึงว่าเราจะต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ของเราให้จงได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ง่ายแต่นั่นก็คือสิ่งที่เราต้องจะต้องทำ

การให้ได้มาซึ่งชัยชนะนั้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเรื่องภายนอก (เช่นตัวเล็กตัวใหญ่ ทุนหนาทุนน้อย) หรือเรื่องภายใน (เช่นสภาพจิตใจหรือกลยุทธต่างๆ) มีหลักง่ายๆ ว่าในการต่อสู้นั้น ถ้าใคร “ได้เปรียบ” คนๆ นั้นก็ย่อมมีแนวโน้มสูงว่าจะสามารถเอาชนะได้ ถึงแม้ว่าความได้เปรียบจะไม่ได้เป็นตัวการันตีว่าการต่อสู้นั้นเราจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยที่สุดโอกาสชนะก็น่าจะเป็นของเรามากกว่าคู่ต่อสู้ก็แล้วกัน

แล้วทำอย่างไรที่เราจะสามารถครองความได้เปรียบเอาไว้ได้